MK โชว์ผลประกอบการ ไตรมาส2/2553

ย้อนกลับ16 สิงหาคม 2553

ครึ่งปีแรกโชว์ยอดรับรู้รายได้จากการขายและบริการ 1,443.72 ล้านบาท เติบโต 14.58% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ประกาศจ่ายปันผลกลางปี 10 สตางค์ต่อหุ้น

นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK ผู้พัฒนาโครงการ "ชวนชื่น" และ "สิรีนเฮ้าส์"  เปิดเผยว่าบริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายและบริการ ประจำไตรมาส 2/2553 จำนวน 527.81 ล้านบาท เติบโตขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 512.05 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทฯ ได้เร่งโอนกรรมสิทธิ์และรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/2553 ไปแล้วถึง 915.90 ล้านบาท เมื่อรวมผลครึ่งปีแรกของปี 2553 บริษัทฯ จึงมียอดรับรู้รายได้จากการขายและบริการ 1,443.72 ล้านบาท เติบโต 14.58% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ 1,260.05 ล้านบาท โดยรายได้หลักในไตรมาสที่ 2 นี้ มาจาก โครงการชวนชื่นเพชรเกษม, ชวนชื่นอ่อนนุช และชวนชื่นโมดัส เซนโทร

บริษัทฯ มีกำไรเบื้องต้น 206.00 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/2553 ลดลง 4.15% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (214.92 ล้านบาท) เนื่องจากโครงการที่รับรู้รายได้ส่วนใหญ่ในปีที่ผ่านมามีอัตรากำไรเบื้องต้นอยู่ในระดับสูง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสปัจจุบันโครงการที่รับรู้รายได้ส่วนใหญ่จะมีอัตราส่วนกำไรเบื้องต้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ดังจะเห็นได้จากอัตราส่วนกำไรเบื้องต้น (Gross Profit Margin) ในปีที่ผ่านมาสูงมากถึง 41.97% และในไตรมาสที่ 2/2553 นี้ เท่ากับ 39.03%    สำหรับงวด 6 เดือน มีกำไรเบื้องต้น 571.41 ล้านบาท เติบโตขึ้น 9.40% จากปี 2552 ซึ่งอยู่ที่ 522.31 ล้านบาท  และมีอัตราส่วนกำไรเบื้องต้นที่ 39.58% เทียบกับ 41.45% ในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา  ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายปรับเพิ่มขึ้น 21.30 ล้านบาท จากไตรมาสที่ 2/2552 ซึ่งอยู่ที่ 13.65 ล้านบาท เป็น 34.95 ล้านบาท เนื่องจากการที่ภาครัฐไม่ต่ออายุมาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษี จึงทำให้บริษัทฯ ต้องจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราปกติ 3.3%  จากที่เคยจ่ายในอัตรา 0.11% ในขณะที่ได้รับสิทธิประโยชน์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กำไรสุทธิ สำหรับงวด 3 เดือน ลดลง 26.52% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา คือจาก 107.47 ล้านบาท เป็น 78.97 ล้านบาท คิดเป็น 0.09 บาทต่อหุ้น และมีอัตราส่วนกำไรสุทธิ 14.82% เมื่อเทียบกับ 20.84% ในไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา สำหรับงวด 6 เดือน บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 273.87 ล้านบาท คิดเป็น 0.32 บาทต่อหุ้น ใกล้เคียงกับ 276.22 ล้านบาทในปี 2552  โดยมีอัตราส่วนกำไรสุทธิ 18.85%

สำหรับฐานะการเงินของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกันหลายไตรมาส  ซึ่งในไตรมาสปัจจุบัน อยู่ที่ 0.25 เท่า และกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานที่เป็นบวกถึง 409.52 ล้านบาท แม้ว่าบริษัทฯ จะใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อที่ดินใหม่เพิ่มถึง 342 ล้านบาท เพื่อนำมาพัฒนาโครงการอนาคต ในส่วนของสินทรัพย์อยู่ในระดับ 5,979.61 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา ในขณะที่หนี้สินรวมลดลงจาก 1,366.89 ล้านบาท ณ สิ้นปีที่ผ่านมา เป็น 1,214.65 ล้านบาท จากการชำระคืนเงินกู้โครงการ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแหล่งกู้ยืมใหม่ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยการออกตั๋วแลกเงินระยะสั้น ในวงเงิน 123 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 2/2553 โดยบันทึกตัดจ่ายดอกเบี้ยล่วงหน้าในอัตราดอกเบี้ยคิดลด ณ วันที่เสนอขาย (อัตราร้อยละ 2.5 ต่อปี)

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประจำปี 2553 สำหรับผลประกอบการตั้งแต่วันที่ 1 มค.2553 - 30 มิย.2553 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท โดยกำหนดจ่ายปันผลระหว่างกาลในวันที่ 13 กย.2553 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์รับเงินปันผลในวันที่ 27 สค.2553 และปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 30 สค.2553  อนึ่ง การจ่ายเงินปันผลประจำปี 2552 ที่ผ่านมา อยู่ที่อัตราหุ้นละ 0.25 บาท โดยเป็นการจ่ายปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท

ข่าวประชาสัมพันธ์